สิ่งที่ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาน่าค้นหา นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว วัฒนธรรม สถาปัตยกรรมแล้ว หนึ่งในนั้นหนีไม่พ้นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตที่เริ่มตั้งแต่การก่อตั้งประเทศ จนเกิดการรวมชาติที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน
การมาเที่ยวบอสตัน ครั้งนี้จะไม่สมบูรณ์เลยถ้าขาดการเติมความรู้ด้านประวัติศาสตร์ผ่านตึกรามบ้านช่อง วิหาร และ อาคารต่างๆ โดยเรื่องราวสู่อิสรภาพของสหรัฐอเมริกาในเมืองบอสตันถูกเรียกว่า Freedom Trail
ฟรีดอมเทรล หรือ Freedom Trail ในเมือง บอสตัน นั้น ได้ถูกจัดการให้นักท่องเที่ยวอย่างเราๆนั้น เดินเที่ยวชม และศึกษาประวัติศาตร์การสร้างชาติ การปฏิวัติ การเกิดขึ้นของวีรบุรุษที่เราคุ้นชื่อ อย่างง่าย และได้ความรู้อย่างแน่นเอี๊ยดเลยทีเดียว
การเดินชมเส้นทาง Freedom Trial นั้น เมืองบอสตันได้วางอิฐบล็อคบนถนนเป็นเส้นยาวผ่านอาคารบ้านเรือน และสถานที่สำคัญๆ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงจุดสุดท้าย ดังนั้นผมรับรองว่าถ้าเดินตามเส้นที่ขีดไว้นี้ไม่มีทางหลงแน่นอน พร้อมทั้งยังเก็บได้ครบทุกสถานที่ในเส้นทาง ที่สำคัญ สถานที่ส่วนใหญ่แล้วนั้นไม่เก็บค่าเข้าชม ก็จะมีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่เก็บค่าเข้าชม เช่น the Old South Meeting House, the Old State House และ the Paul Revere House นอกนั้นไม่ต้องจ่าย หรือจะบริจาคก็ได้
ขอลงรูปตัวเองด้วยนะครับ :p เพราะในภาพมีเส้นที่พื้น เป็นเส้นทางเดิน Freedom Trail
เรามาเริ่มการเดินชมเส้นทางแห่งอิสรภาพนี้กันเลยครับ โดยจุดเริ่มจะอยู่ในส่วนย่านดาวน์ทาวน์กลางเมือง ที่ Boston Common และไปสิ้นสุดที่ Bunker Hill Monument รวมสถานที่ประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น 16 แห่ง
-
- Boston Common
- Massachusetts State House
- Park Street Church
- Granary Burying Ground
- King’s Chapel and Burying Ground
- Benjamin Franklin statue and former site of Boston Latin School
- Old Corner Bookstore
- Old South Meeting House
- Old State House
- Site of the Boston Massacre
- Faneuil Hall
- Paul Revere House
- Old North Church
- Copp’s Hill Burying Ground
- USS Constitution
- Bunker Hill Monument
Boston Common
สวนแห่งนี้คือสวนสาธารณะกลางเมือง ที่ครองตำแหน่งสวนสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 1634 หรือเกือบจะ 400 ปีแล้ว นานมากก และอาจจะไม่ผิดถ้าคิดว่าที่นี่คือสวน Central Park ใน New York เวอร์ชั่นย่อส่วน เพราะที่นี่มีทั้งคนในเมือง และ นักท่องเที่ยว มาเดินเล่น นอนอาบแดด เล่นบอล หรือแม้แต่ประท้วง!! ใครมาถึงแล้วก็อย่าลืมไปขอข้อมูลการเที่ยวเมืองบอสตันได้ที่ศูนย์ Visitor Center นะครับ แล้วเราก็เริ่มเดินตามเส้นสีแดงตามพื้นมุ่งหน้าสู่ Beacon Hill ไปสถานที่ต่อไปกันเลย
Massachusetts State House
อาคารที่มียอดโดมสีทองเด่นมาแต่ไกล ที่นี่คืออาคารรัฐสภาของมลรัฐ Massachusetts ซึ่งเป็นออฟฟิศของผู้ว่าการรัฐ ตั้งอยู่บนเนินที่เรียกว่า Beacon Hill
Park Street Church
สร้างขึ้นในปี 1809 อยู่ตรงหัวมุมถนน Park และ Tremont ที่นี่เคยเป็นสถานที่วางแผนการเลิกทาส ของนักขบวนการเลิกทาส และเหตุการณ์ ในอดีตเป็นเหมือนสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองบอสตัน ที่แสดงความไม่สิ้นสุดความเป็นผู้นำของเมืองบอสตันในช่วงยุคสงครามปฏิวัติ
Granary Burying Ground
สุสานเก่าแก่ข้างๆกับ Park Street Church มีศพถูกฝังตั้งแต่ยุคแรกที่คนมาตั้งรกรากที่นี่ ย้อนกลับไปเมื่อปี 1660 เลยทีเดียว ป้ายหน้าหลุมฝังศพส่วนมากสลักด้วยรูปหัวกระโหลก และปีก นิกาย พิวริตัน โดยหลุมฝังศพคนดังเช่น Paul Revere, John Hancock และ Samuel Adams
King’s Chapel
เป็นโบสถ์แรกในเมืองบอสตันที่ไม่ใช่ของนิกายพิวริตัน สถาปัตยกรรมเป็นแบบจอร์เจีย และ ประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษของบอสตัน เดิมโครงสร้างเป็นไม้ สร้างในปี 1688 และต่อมาใช้หินสร้างครอบทับอีกทีแล้วจึงรื้อโครงไม้เดิมทิ้งไป
Boston Latin School
โรงเรียนสร้างเสร็จในปี 1645 เป็น public school ที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา บุคคล 5 คนที่มีส่วนสำคัญในการประกาศอิสรภาพของอเมริกาก็เรียนที่โรงเรียนนี้ คือ Franklin, Samuel Adams, John Hancock, Robert Treat Paine และ William Hooper ที่นี่ยังมีรูปปั้นของ Benjamin Franklin เขาย้ายไป Philadelphia ก่อนที่จะจบการศึกษา
ร้านกาแฟ Starbucks สาขาติดกับ Boston Latin School
Old Corner Book Store
อาคารนี้เป็นหนึ่งอาคารที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองบอสตันที่อยู่รอดปลอดภัยจากสงครามนานหลายปี เป็นตึกย่านธุรกิจที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกา ร้านหนังสือนี้ถูกสร้างในปี 1718 เป็นศูนย์รวมสมาคมนักกวี นักเขียน ของเมืองบอสตัน อาทิ Ralph Waldo Emerson, Louisa May Alcott และ Nathaniel Hawthorne แต่ตอนนี้ไม่ใช่ร้านหนังสือแล้ว แต่กลายเป็นร้าน Chipotle
Old South Meeting House
สถานที่สำคัญที่ Samuel Adams ได้กล่าวเพื่อชวนฝูงชนให้เกิดเหตุการณ์ไปเทใบชาของอังกฤษทิ้งในอ่าวบอสตันเพื่อทำการต่อต้านภาษีใบชาที่มาจากความไม่เป็นธรรมเป็นชนวนนำไปสู่สงครามการปฏิวัติอเมริกา
Old State House
ถูกสร้างในปี 1713 เคยเป็นที่ประชุมของสมาชิกสภานิติบัญญัติเมืองบอสตัน จนกระทั่งรัฐบาลอังกฤษเข้ามาบริหาร
ตรงบริเวณลานด้านหน้า Old State House นี้ เรียกว่า The Boston Massacre ซึ่งในระหว่างการปฎิวัติมีช่วงที่มีการปะทะกันระหว่างชาวบอสตันกับกองทัพอังกฤษ ทำให้มีประชาชน 5 คนเสียชีวิตจากการถูกยิงบริเวณนี้
Faneuil Hall และ Quincy Market
ตลาดเก่าแก่ประจำเมือง แบ่งเป็นตลาดฝั่งใต้ (South Market) ตลาดฝั่งเหนือ (North Market) และตลาดควินซี่ (Quincy) มีร้านอาหารมากมาย และยังเป็นแหล่งงานฝีมือสินค้าพื้นเมือง มีการแสดงเปิดหมวกมากมาย
พอมาถึงตรงนี้เหล่าพลพรรคพี่ๆน้องๆที่มาด้วยกันต่างเหนื่อย และหิว เลยแวะทานอาหารในตลาดควินซี่ แล้วก็เลยตัดสินใจไปเที่ยวสถานที่อื่นในบอสตันกันต่อ เลยจบ Fredom Trail ไว้ตรงนี้ แต่ผมได้ไปหาข้อมูลมาเผื่อใครมาแล้วมีแรงเดินต่อก็ไปต่อได้เลยนะคร้าบบบ ^_^
Paul Revere House
บ้านของ Paul Revere ช่างเงินที่มีชื่อเสียงของประเทศ ที่นี่รวบรวมคอลเลคชั่นเครื่องประดับของเขาไว้ให้ได้ชมกัน ส่วนตัวบ้านนั้นเป็นสไตล์อเมริกันยุดบุกเบิก

Old North Church
ด้านหน้าของ Old North Church เป็นส่วนของลานกว้างเป็นที่ตั้งของรูปปั้น Paul Revere ที่กำลังขี่ม้านเตือนชาวเมืองให้ระวังภัยจากกลุ่มติดอาวุธ
ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ถึงประวัติศาสตร์ของที่นี่ แต่ก็ยังควรค่าแก่การไปเยี่ยมชม เพราะที่นีคือ โบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดในบอสตันที่ยังเหลือรอดมาถึงวันนี้

Copp’s Hill Burial Ground
ที่นี่เป็นเนินสูง สามารถมองไปเห็นวิวส่วน North End และ แม่น้ำบอสตันได้ คุ้มค่าแก่การปีนขึ้นมา ซึ่งสุสานนี้เก่าแก่เป็นอันดับที่สองรองลงมาจาก King’s Chapel

U.S.S. Constitution
เมื่อเดินข้ามสะพาน Charlestown Bridge มาถึงที่จอดเรือ ที่นี่สร้างในปี 1797 และมีเรือรบเรือทหารสัญญาบัตรที่เก่าแก่ที่สุดในโลกโชว์อยู่ และมีพิพิธภัณฑ์ U.S.S. Constitution Museum ให้เข้าชมด้วย

Bunker Hill Monument
หลังจากไต่ถนนแคบๆอย่าง Charlestown ขึ้นมาถึงด้านบนก็จะพบกับอนุสรณ์สถานแก่การต่อสู้ที่ Bunker Hill เป็นเสาโอเบลิสก์สูงตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า พอมาถึงที่นี่ก็ถือว่าสิ้นสุดเส้นทาง Freedom Trail ของเมืองบอสตันแล้ว

หลังจากเดินจนชมจนครบทุกสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของบอสตันบนเส้นทาง Freedom Trail แล้ว หลายคนอาจจะเหนื่อย แต่ผมว่ามันคุ้มค่ากับความเหนื่อยเหล่านั้น เพราะเราจะได้เติมเต็มความรู้ ความเข้าใจของประวิศาสตร์อเมริกา เพื่อเราจะได้ไปเที่ยวต่อในสถานที่ต่างๆได้อย่างเข้าใจมากขึ้น ก็จะทำให้เที่ยวได้สนุกขึ้นอีกด้วย
