11 เมืองเที่ยวในญี่ปุ่น ไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ!

TravelEatDrinkReview จะพาคุณไปสำรวจ 11 เมืองในญี่ปุ่น (ไม่นับโตเกียวและโอซาก้า) ที่หลายคนโหวตให้เป็นเมืองที่ “ไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ” แต่ละเมืองมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้นักเดินทางหลายคนหลงรักจนอยากกลับไปซ้ำแน่นอน


อันดับ 11: อิเสะ (Ise)

เมืองศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยความสงบและมนต์ขลัง ถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวญี่ปุ่น

  • ศาลเจ้าอิเสะจิงกู (Ise Jingu): ศาลเจ้าชินโตที่ศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุดของญี่ปุ่น แบ่งออกเป็นส่วนนอก (Geku) และส่วนใน (Naiku)
  • ถนนโอฮาไรมาจิ (Oharai-machi): ถนนเก่าแก่ที่ทอดยาวไปยังศาลเจ้าอิเสะจิงกูในส่วนใน (Naiku) เต็มไปด้วยอาคารไม้โบราณที่ให้บรรยากาศย้อนยุค
  • ถนนโอคากะโยโกโจ (Okage Yokocho): ถนนสายเล็ก ๆ ที่แยกจากถนนโอฮาไรมาจิ บรรยากาศเหมือนหมู่บ้านสมัยเอโดะ มีร้านค้าและร้านอาหารมากมายให้เลือก
  • หินคู่เมะโอโตะอิวะ (Meoto Iwa): หินคู่ขนาดใหญ่ที่ถูกผูกติดกันด้วยเชือกศักดิ์สิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ของความรักและโชคลาภ
  • หมู่บ้านวัฒนธรรมอะสุจิ-โมะโมะยามะ (Azuchi-Momoyama Bunkamura): สวนสนุกที่จำลองหมู่บ้านในยุคอะสุจิ-โมะโมะยามะ มีการแสดงนินจาและวัฒนธรรมญี่ปุ่น
  • พิพิธภัณฑ์ชินจูกุ (Shinjuku History Museum): พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองอิเสะและภูมิภาคโดยรอบ
  • สวนโทบะซาชิฮามะ (Toba Sasihama): ชายหาดที่สวยงามในเมืองโทบะ (Toba) ใกล้กับอิเสะ เหมาะสำหรับการพักผ่อนริมทะเล
  • พิพิธภัณฑ์มิกิโมะโตะเพิร์ลไอส์แลนด์ (Mikimoto Pearl Island): เกาะเล็ก ๆ ที่เป็นต้นกำเนิดของการเพาะเลี้ยงไข่มุก มีการสาธิตการดำน้ำของสตรี (Ama Divers)
  • ศาลเจ้าสึโบกาอิ (Tsubogai Shrine): ศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา สามารถเดินขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์อันงดงามได้
  • ห้างสรรพสินค้าอิเซะ (Ise Department Store): ห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ที่มีของฝากและสินค้าท้องถิ่นให้เลือกซื้อ

อันดับ 10: เบปปุ (Beppu)

เมืองแห่งบ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ควันไอน้ำที่ลอยฟุ้งไปทั่วเมืองคือภาพจำสุดคลาสสิก

  • บ่อไฟนรก (Jigoku Onsen): บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีสีสันและลักษณะเฉพาะถึง 8 บ่อ แต่ละบ่อมีความสวยงามแตกต่างกันไป เช่น บ่อสีเลือด (Blood Pond Hell) และบ่อทะเลเดือด (Sea Hell)
  • หุบเขาออนเซ็นยูฟุอิน (Yufuin Onsen): เมืองออนเซ็นเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากเบปปุ บรรยากาศเงียบสงบ มีร้านค้าและคาเฟ่น่ารัก ๆ
  • สวนสนุกเบปปุ ราคุเท็นจิ (Beppu Rakutenchi): สวนสนุกเก่าแก่ที่มีกระเช้าลอยฟ้าให้ชมวิวเมืองเบปปุ
  • บ่อน้ำร้อนซูนะยุ (Sunayu Onsen): บ่อน้ำร้อนทรายที่ให้เราฝังตัวอยู่ในทรายอุ่น ๆ เพื่อการบำบัด
  • สวนลิงทาคาซากิยามะ (Takasakiyama Monkey Park): สวนลิงธรรมชาติที่มีลิงป่าอาศัยอยู่หลายร้อยตัว
  • บ่อน้ำร้อนฟุโรยู (Furoyu Onsen): บ่อน้ำพุร้อนสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดในเบปปุ
  • พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอุซุมิกะวา (Uzumigawa Aquarium): พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดเล็กที่จัดแสดงสัตว์ทะเลในท้องถิ่น
  • หอคอยเบปปุ (Beppu Tower): หอคอยสูงที่ให้คุณได้ชมวิวเมืองเบปปุและทะเลอย่างเต็มตา
  • สวนดอกไม้ฮิรากิ (Hiraki Flower Park): สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ที่มีดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่งตลอดปี
  • วัดฮาคุราคุจิ (Hakuraku-ji Temple): วัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นเมืองเบปปุได้

อันดับ 9: นาโกย่า (Nagoya)

เมืองใหญ่ที่ไม่วุ่นวาย มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมในภูมิภาคชูบุ

  • ปราสาทนาโกย่า (Nagoya Castle): หนึ่งในปราสาทที่ใหญ่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น
  • สวนจิบลิ (Ghibli Park): สวนสนุกธีมแรกของสตูดิโอจิบลิ ที่จำลองฉากจากภาพยนตร์ชื่อดังต่าง ๆ ของจิบลิ
  • ศาลเจ้าอัตสึตะ (Atsuta Shrine): หนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น
  • พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์นาโกย่า (Nagoya City Science Museum): พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ที่มีโดมท้องฟ้าจำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก
  • ย่านโอสุ (Osu Kannon): ย่านการค้าเก่าแก่ที่มีทั้งวัดวาอาราม ร้านอาหาร ร้านค้า และร้านขายของมือสองมากมาย
  • พิพิธภัณฑ์รถไฟ (Scmaglev and Railway Park): พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงรถไฟหัวกระสุน (Shinkansen) ตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นล่าสุด
  • หอคอยทีวีนาโกย่า (Nagoya TV Tower): หอคอยสูงที่ให้คุณได้ชมวิวเมืองนาโกย่าจากมุมสูง
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะโทกุกาวะ (Tokugawa Art Museum): พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงสมบัติของตระกูลโทกุกาวะ รวมถึงม้วนคัมภีร์และภาพวาดโบราณ
  • ศูนย์การค้าซาคาเอะ (Sakae Shopping Area): ย่านช้อปปิ้งหลักของนาโกย่าที่มีห้างสรรพสินค้าและร้านค้าทันสมัยมากมาย
  • สวนสาธารณะชิโรโทริ (Shirotori Garden): สวนญี่ปุ่นที่สวยงาม มีบึงน้ำและสะพานไม้ที่ให้บรรยากาศสงบ

อันดับ 8: โอตารุ (Otaru)

เมืองท่าสุดโรแมนติกที่ตั้งอยู่ในฮอกไกโด มีคลองเก่าแก่และอาคารอิฐแดงสุดคลาสสิก

  • คลองโอตารุ (Otaru Canal): สัญลักษณ์ของเมืองโอตารุ มีโกดังเก่าแก่เรียงรายริมคลอง บรรยากาศงดงาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวและยามค่ำคืนที่มีการประดับไฟ
  • ถนนซากาอิมาจิ (Sakaimachi Street): ถนนช็อปปิ้งหลักของโอตารุ มีทั้งร้านขายของที่ระลึก ร้านงานแก้ว ร้านเครื่องดนตรี และร้านอาหารทะเลสดใหม่
  • พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ (Otaru Music Box Museum): พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงกล่องดนตรีหลากหลายรูปแบบ
  • โรงงานเป่าแก้วคิตาอิจิ (Kitaichi Glass Otaru): โรงงานเป่าแก้วที่มีการสาธิตการทำแก้ว และมีร้านค้าที่เต็มไปด้วยของตกแต่งและเครื่องแก้วสวยงาม
  • พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น สาขาโอตารุ (Bank of Japan Otaru Museum): อาคารสไตล์เรโทรที่เคยเป็นธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชม
  • หอคอยชมวิวเท็งกุยามะ (Tenguyama Ropeway): กระเช้าลอยฟ้าที่พาคุณขึ้นไปบนยอดเขาเท็งกุ (Mount Tengu) เพื่อชมวิวเมืองโอตารุและอ่าว
  • พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอตารุ (Otaru Aquarium): พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ที่มีการแสดงโชว์ของแมวน้ำและโลมา
  • ศาลเจ้าฮินะมะสึริ (Hinamatsuri Shrine): ศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่จัดเทศกาลตุ๊กตาฮินะ (Hinamatsuri) ในช่วงต้นเดือนมีนาคม
  • ตลาดปลาซังคาคุ (Sankaku Market): ตลาดปลาเล็ก ๆ ที่มีร้านอาหารทะเลสดใหม่ให้เลือกชิม
  • ท่าเรือโอตารุ (Otaru Port): ท่าเรือที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้าในอดีต ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเดินเล่นชมเรือได้

อันดับ 7: โอกินาวา (Okinawa)

เกาะสวรรค์แห่งท้องทะเลใต้ของญี่ปุ่น ที่ผสมผสานวัฒนธรรมหลากหลายได้อย่างลงตัว

  • พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำชูราอุมิ (Okinawa Churaumi Aquarium): พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำที่มีชื่อเสียงระดับโลก ไฮไลต์คือแท็งก์น้ำขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “ทะเลคุโรชิโอ”
  • ปราสาทชูริ (Shuri Castle): ปราสาทเก่าแก่ที่เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์แห่งอาณาจักรริวกิว
  • ถนนโคคุไซโดริ (Kokusai Dori): ถนนสายหลักของเมืองนาฮา (Naha) ที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกมากมาย
  • แหลมมันซาโมะ (Cape Manzamo): จุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่มีหน้าผาหินรูปร่างคล้ายงวงช้าง
  • หมู่บ้านอเมริกันมิฮามะ (Mihama American Village): แหล่งช้อปปิ้งและความบันเทิงที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบอเมริกัน
  • หมู่บ้านริวกิว (Ryukyu Mura): หมู่บ้านจำลองที่จัดแสดงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวโอกินาว่าในอดีต
  • หาดโคเซ็นบะ (Kosenba Beach): ชายหาดที่สวยงามและเงียบสงบ เหมาะสำหรับการว่ายน้ำและพักผ่อน
  • ถ้ำเกียวคุเซ็นโดะ (Gyokusendo Cave): ถ้ำหินงอกหินย้อยที่สวยงามและใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น
  • ตลาดมิกิมิโนะ (Mikimino Market): ตลาดปลาสดที่ตั้งอยู่ในเมืองนาฮา (Naha) มีอาหารทะเลสดใหม่ให้เลือกชิม
  • ปราสาทซาชิกะมินิ (Sashigamine Castle): ปราสาทเก่าแก่ที่เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารในสมัยก่อน

อันดับ 6: นากาโน่ (Nagano)

จังหวัดที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น โดดเด่นเรื่องกีฬาฤดูหนาว

  • สวนลิงหิมะจิโกกุดานิ (Jigokudani Monkey Park): ที่ที่เหล่าลิงหิมะลงมาแช่น้ำพุร้อนท่ามกลางหิมะ
  • ปราสาทมัตสึโมโตะ (Matsumoto Castle): หนึ่งในปราสาทดั้งเดิมที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น มีสีดำสนิทจนได้ฉายาว่า “ปราสาทอีกา”
  • วัดเซ็นโคจิ (Zenkoji Temple): วัดที่มีประวัติยาวนานกว่า 1,400 ปี และเป็นหนึ่งในวัดพุทธที่สำคัญที่สุดในญี่ปุ่น
  • อุทยานแห่งชาติคามิโคจิ (Kamikochi National Park): อุทยานที่สวยงามราวกับภาพวาด มีเส้นทางเดินป่าเลียบแม่น้ำอะซึสะ (Azusa River)
  • หมู่บ้านโอฮิเมะ (O-Hime Village): หมู่บ้านเก่าแก่ที่มีบ้านเรือนและอาคารแบบดั้งเดิมให้เยี่ยมชม
  • สวนสาธารณะชิราคาบะ (Shirakaba Highland): สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เหมาะสำหรับการเดินเล่นและปั่นจักรยาน
  • เมืองปราสาทนากาโน่ (Nagano Castle Town): เมืองเก่าที่มีอาคารและถนนที่ให้บรรยากาศเหมือนสมัยก่อน
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮิเมะมัตสึ (Himematsu Art Museum): พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานของศิลปินท้องถิ่น
  • แหล่งน้ำพุร้อนฮิรากิ (Hiraki Onsen): แหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติที่ตั้งอยู่ในหุบเขา มีบรรยากาศเงียบสงบและเป็นส่วนตัว
  • ภูเขาคิโซะ (Kiso Mountain Range): เทือกเขาที่สวยงามในนากาโน่ เหมาะสำหรับการเดินป่าและปีนเขา

อันดับ 5: โทยามะ (Toyama)

จังหวัดที่ตั้งอยู่ริมทะเลญี่ปุ่น มีบรรยากาศเงียบสงบและธรรมชาติที่สมบูรณ์

  • เส้นทางท่องเที่ยวเท็ตสึยามะ-คุโรเบะ อัลไพน์ (Tateyama-Kurobe Alpine Route): เส้นทางข้ามภูเขาที่โด่งดัง มีกำแพงหิมะสูงตระหง่านในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
  • หุบเขาคุโรเบะ (Kurobe Gorge): หุบเขาที่ลึกที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น สามารถนั่งรถไฟชมวิวไปตามรางรถไฟที่ตัดผ่านอุโมงค์และสะพาน
  • ปราสาทโทยามะ (Toyama Castle): ปราสาทที่สร้างขึ้นตามแบบดั้งเดิม ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะที่ร่มรื่น
  • สวนริมคลองฟุกัง (Fugan Unga Kansui Park): สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่ริมคลอง มีบรรยากาศสบาย ๆ เหมาะกับการเดินเล่นหรือปั่นจักรยาน
  • พิพิธภัณฑ์เมืองโทยามะ (Toyama City Museum): พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองโทยามะ
  • ตลาดชิรากาวะโกะ (Shirakawa-go): หมู่บ้านเก่าแก่ที่มีบ้านหลังคาแบบกัสโช (Gassho-zukuri) ที่สวยงามและแปลกตา
  • วัดโคโนะฮะ (Konoha Temple): วัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นเมืองโทยามะได้
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะโอฮาระ (Ohara Art Museum): พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานของศิลปินชื่อดังมากมาย
  • สวนสาธารณะโทยามะ (Toyama Park): สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีสวนดอกไม้และบึงน้ำที่สวยงาม
  • ห้างสรรพสินค้าไดมารุ (Daimaru Department Store): ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อ

อันดับ 4: ฮาโกดาเตะ (Hakodate)

เมืองท่าทางตอนใต้ของฮอกไกโดที่มีความโรแมนติกและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน

  • ภูเขาฮาโกดาเตะ (Mount Hakodate): จุดชมวิวที่สวยงามระดับโลก โดยเฉพาะวิวกลางคืนที่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสามวิวกลางคืนที่สวยที่สุดในโลก
  • ป้อมโกะเรียวกะโกะ (Goryokaku Fort): ป้อมปราการรูปดาวห้าแฉกแห่งแรกของญี่ปุ่น สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ
  • ย่านโมโตมาจิ (Motomachi District): ย่านเก่าแก่ที่มีอาคารสไตล์ตะวันตกสวยงาม เช่น โบสถ์คาทอลิกและโบสถ์คริสต์ออร์โธดอกซ์
  • ตลาดเช้าฮาโกดาเตะ (Hakodate Morning Market): ตลาดอาหารทะเลสดใหม่ขนาดใหญ่ที่มีร้านค้ากว่า 250 ร้าน
  • โกดังอิฐแดงคาเนะโมริ (Kanemori Red Brick Warehouse): กลุ่มอาคารโกดังเก่าแก่ที่ถูกดัดแปลงเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่ริมทะเล
  • หอคอยฮาโกดาเตะ (Hakodate Tower): หอคอยสูงที่ให้คุณได้ชมวิวเมืองฮาโกดาเตะจากมุมสูง
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮาโกดาเตะ (Hakodate Art Museum): พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานของศิลปินท้องถิ่น
  • สวนสาธารณะฮาโกดาเตะ (Hakodate Park): สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีสวนดอกไม้และสนามเด็กเล่น
  • แหล่งน้ำพุร้อนยูโนะกาวะ (Yunokawa Onsen): แหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง
  • สะพานคิริโกะ (Kiriko Bridge): สะพานไม้ที่สวยงาม ตั้งอยู่บนแม่น้ำคิริโกะ (Kiriko River)

อันดับ 3: ทาคายามะ (Takayama)

เมืองเล็ก ๆ ในเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น ที่ยังคงสถาปัตยกรรมดั้งเดิมจากสมัยเอโดะเอาไว้

  • ย่านเมืองเก่าซันมาชิ ซูจิ (Sanmachi Suji): ย่านเมืองเก่าที่มีอาคารไม้โบราณและถนนที่ปูด้วยหินก้อนใหญ่
  • สะพานนากะบาชิ (Nakabashi Bridge): สะพานไม้สีแดงสดที่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง ทอดข้ามแม่น้ำมิยากาว่า (Miyagawa River)
  • ทาคายามะ จินยะ (Takayama Jinya): ที่ทำการรัฐบาลท้องถิ่นในสมัยเอโดะ เป็นอาคารเก่าแก่เพียงแห่งเดียวที่ยังคงสภาพดีเยี่ยม
  • ตลาดเช้าทาคายามะ (Miyagawa Morning Market): ตลาดเช้าที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมิยากาว่า มีร้านค้ามากมายขายผักผลไม้สดและของที่ระลึก
  • เทศกาลทาคายามะ (Takayama Festival): หนึ่งในเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น จัดขึ้นปีละสองครั้งในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง
  • ศาลเจ้าซากุระยามะ ฮาจิมังงู (Sakurayama Hachimangu Shrine): ศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองทาคายามะ
  • หมู่บ้านฮิดะโนะซาโตะ (Hida no Sato): หมู่บ้านจำลองที่จัดแสดงบ้านเรือนแบบดั้งเดิมของชาวฮิดะ (Hida)
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะฮิดะ (Hida Art Museum): พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงผลงานของศิลปินท้องถิ่น
  • หอคอยทาคายามะ (Takayama Tower): หอคอยสูงที่ให้คุณได้ชมวิวเมืองทาคายามะจากมุมสูง
  • สวนสาธารณะทาคายามะ (Takayama Park): สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีสวนดอกไม้และบึงน้ำที่สวยงาม

อันดับ 2: เกียวโต (Kyoto)

เมืองหลวงเก่าที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมญี่ปุ่นอันงดงาม มีมรดกโลกมากมาย

  • วัดคิโยมิซุเดระ (Kiyomizu-dera Temple): วัดน้ำใสที่มีระเบียงไม้ขนาดใหญ่ยื่นออกไปจากหน้าผา สามารถมองเห็นวิวเมืองเกียวโตได้อย่างสวยงาม
  • ศาลเจ้าฟุชิมิ อินาริ (Fushimi Inari Shrine): ศาลเจ้าจิ้งจอกที่มีชื่อเสียงจากเสาโทริอิสีแดงนับพันต้นที่เรียงรายกันเป็นอุโมงค์
  • ป่าไผ่อาราชิยามะ (Arashiyama Bamboo Grove): ป่าไผ่ขนาดใหญ่ที่ให้บรรยากาศสงบและร่มรื่น
  • วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji Temple): วัดทองที่มีอาคารหลักปิดทองคำเปลวทั้งหลัง ตั้งอยู่ริมสระน้ำอย่างงดงาม
  • ย่านกิออน (Gion): ย่านเก่าแก่ที่เป็นที่อยู่ของเกอิโกะ (Geiko) และไมโกะ (Maiko)
  • ปราสาทนิโจ (Nijo Castle): ปราสาทที่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ เคยเป็นที่ประทับของโชกุนโทกุกาวะ
  • วัดกินคะคุจิ (Ginkaku-ji Temple): วัดเงินที่มีสวนสวยงามและบรรยากาศเงียบสงบ
  • วัดเบียวโดอิน (Byodo-in Temple): วัดที่มีอาคารหลักเป็นรูปนกฟีนิกซ์ ตั้งอยู่ริมสระน้ำที่สวยงาม
  • ศาลเจ้ายาซากะ (Yasaka Shrine): ศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงจากเทศกาลกิออน (Gion Matsuri) ที่ยิ่งใหญ่
  • ตลาดนิชิกิ (Nishiki Market): ตลาดที่ขายอาหารและของที่ระลึกมากมาย เป็นที่รู้จักในฐานะ “ครัวของเกียวโต”

อันดับ 1: ฟุกุโอกะ (Fukuoka)

เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะคิวชู บรรยากาศสบาย ๆ และมีทุกอย่างครบครัน

  • ศาลเจ้าดาไซฟุ เท็นมังกู (Dazaifu Tenmangu Shrine): ศาลเจ้าชินโตที่สำคัญและเป็นที่รู้จักในฐานะเทพเจ้าแห่งการศึกษาและการสอบ
  • นันโซอิน (Nanzoin Temple): วัดที่มีพระนอนทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในโลก
  • คลองข้างถนนยาไต (Yatai Food Stalls): แผงขายอาหารข้างทางที่ตั้งเรียงรายริมคลองนากาซุ (Nakasu River)
  • สวนริมทะเลโมโมอิชิ (Momochi Seaside Park): สวนสาธารณะริมชายหาดที่มีหาดทรายสวยงามและฟุกุโอกะทาวเวอร์ (Fukuoka Tower) ตั้งอยู่เป็นสัญลักษณ์
  • ย่านช้อปปิ้งเท็นจิน (Tenjin Shopping Area): ย่านการค้าขนาดใหญ่ที่มีห้างสรรพสินค้า ร้านค้า และร้านอาหารมากมาย
  • ตลาดปลาคะวะเซะ (Kawase Fish Market): ตลาดปลาสดที่ใหญ่ที่สุดในฟุกุโอกะ มีอาหารทะเลสดใหม่ให้เลือกชิม
  • ปราสาทฟุกุโอกะ (Fukuoka Castle): ปราสาทเก่าแก่ที่ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ยังคงความสวยงามอยู่
  • สวนสาธารณะโอโฮริ (Ohori Park): สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีบึงน้ำและสวนญี่ปุ่นที่สวยงาม
  • แหล่งน้ำพุร้อนฮากาตะ (Hakata Onsen): แหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติที่มีชื่อเสียง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง
  • ห้างสรรพสินค้าฮากาตะไดมารุ (Hakata Daimaru): ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่มีสินค้าหลากหลายให้เลือกซื้อ

อันดับพิเศษ: โตเกียว (Tokyo)

เมืองหลวงที่ไม่เคยหลับใหล ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับวัฒนธรรมเก่าแก่ได้อย่างลงตัว

  • ย่านชิบูย่า (Shibuya): ย่านยอดฮิตที่มีห้าแยกที่คนพลุกพล่านที่สุดในโลก และเป็นแหล่งรวมแฟชั่นและเทรนด์ใหม่ ๆ
  • โตเกียวสกายทรี (Tokyo Skytree): หอคอยที่สูงที่สุดในโลก ให้คุณได้ชมวิวเมืองโตเกียวจากมุมสูง
  • วัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple): วัดเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในย่านอาซากุสะ (Asakusa) มีโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่เป็นสัญลักษณ์
  • พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace): ที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น
  • ตลาดปลาซึกิจิ (Tsukiji Outer Market): ตลาดสดขนาดใหญ่ที่มีร้านอาหารและของทะเลสดใหม่มากมายให้เลือกชิม
  • พิพิธภัณฑ์ศิลปะโมริ (Mori Art Museum): พิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัยที่ตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของตึก Roppongi Hills ให้คุณได้ชมงานศิลปะไปพร้อมกับวิวเมืองโตเกียว
  • ย่านกินซ่า (Ginza): ย่านหรูหราที่มีร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหารระดับมิชลิน และห้างสรรพสินค้าเก่าแก่
  • สวนอุเอโนะ (Ueno Park): สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีพิพิธภัณฑ์และสวนสัตว์ รวมถึงเป็นจุดชมซากุระยอดนิยม

อันดับพิเศษ: โอซาก้า (Osaka)

เมืองแห่งอาหารที่เต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวา มีอาหารอร่อยและแหล่งช้อปปิ้งมากมาย

  • ปราสาทโอซาก้า (Osaka Castle): ปราสาทเก่าแก่ที่สวยงามและสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
  • ย่านโดทงโบริ (Dotonbori): ย่านที่มีป้ายไฟขนาดยักษ์สุดคลาสสิกของกูลิโกะ (Glico Running Man) และเป็นแหล่งรวมร้านอาหารอร่อย
  • ย่านชินไซบาชิ (Shinsaibashi): ย่านช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของโอซาก้า มีร้านค้าแฟชั่น ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้ามากมาย
  • หอคอยซึเท็นคาคุ (Tsutenkaku Tower): หอคอยที่เป็นสัญลักษณ์ของย่านชินเซไก (Shinsekai) ให้คุณได้ชมวิวเมืองจากมุมสูง
  • ตลาดคุโรมง (Kuromon Market): ตลาดที่ได้ฉายาว่าเป็น “ครัวของโอซาก้า” มีอาหารทะเลสดใหม่และของกินเล่นมากมายให้เลือกชิม
  • ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอส์ เจแปน (Universal Studios Japan): สวนสนุกชื่อดังที่มีเครื่องเล่นและโซนพิเศษต่าง ๆ เช่น Super Nintendo World และ The Wizarding World of Harry Potter
  • แหล่งน้ำพุร้อนสปาเวิลด์ (Spa World): สวนสนุกน้ำพุร้อนที่มีบ่อแช่ออนเซ็นจากหลากหลายประเทศ
  • ย่านนัมบะ (Namba): ย่านศูนย์กลางการค้าที่มีห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และสถานีรถไฟสำคัญ

ทั้งหมดนี้คือเมืองที่คนโหวตว่า “ไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ” ลองไปสัมผัสเสน่ห์ของแต่ละเมืองด้วยตัวคุณเองดูนะครับ แล้วอย่าลืมมาบอกเราด้วยนะว่าเมืองไหนของญี่ปุ่นที่คุณชอบที่สุด!

อ้างอิง Go Went Go

ทริปดอกไม้บานที่ฮอกไกโด 5 วัน 4 คืน โรแมนติก

ดอกไม้บานที่ฮอกไกโด: 5 วัน 4 คืน ทริปสุดโรแมนติกกับคนรัก

TravelEatDrinkReview – สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาทริปสุดพิเศษเพื่อเติมความหวานให้กับความรัก วันนี้ผมขอมาแชร์แพลนเที่ยวฮอกไกโดช่วงฤดูดอกไม้บานที่รับรองว่าโรแมนติกจนลืมไม่ลงแน่นอน! ทริป 5 วัน 4 คืนนี้จะพาคุณไปสัมผัสความงามของธรรมชาติที่รายล้อมไปด้วยดอกไม้นับล้าน และสร้างความทรงจำดีๆ ที่แสนอบอุ่นด้วยกัน

เตรียมตัวก่อนออกเดินทาง: อิสระในการเดินทางคือสิ่งสำคัญ

เพื่อความคล่องตัวและเป็นส่วนตัวตลอดการเดินทาง ทริปนี้เราจะขับรถยนต์ส่วนตัวที่เช่าไว้ ซึ่งจะทำให้คุณแวะพักที่ไหนก็ได้ตามใจต้องการ และมีเวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศสวยๆ ได้อย่างเต็มที่ สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมคือ ใบขับขี่สากล และ ใบขับขี่ไทย เพื่อใช้ประกอบการเช่ารถ ที่สำคัญอย่าลืมเพิ่ม บัตรทางด่วน (Easy Pass) ไปด้วย เพื่อให้การเดินทางราบรื่น ไม่ต้องเสียเวลาจ่ายค่าทางด่วนบ่อยๆ ครับ


Day 1 & 2: ฟุราโนะ (Furano) & บิเอะ (Biei)

ทุ่งดอกไม้และบ่อน้ำสีฟ้าที่ราวกับความฝัน

เราเริ่มต้นทริปด้วยการขับรถจากสนามบินนิวชิโตเสะตรงไปยังเมือง ฟุราโนะ (Furano) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างทางจะได้สัมผัสกับบรรยากาศชนบทที่แสนโรแมนติก ท้องฟ้าสีคราม และทุ่งหญ้าเขียวขจีที่มองไปสุดลูกหูลูกตา

  • ฟาร์มโทมิตะ (Farm Tomita): มาถึงฟุราโนะทั้งทีต้องไม่พลาดฟาร์มลาเวนเดอร์อันดับหนึ่งของญี่ปุ่น โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงกลางสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ลาเวนเดอร์บานเต็มที่ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ ชวนให้บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรัก แนะนำให้ลองชิมไอศกรีมลาเวนเดอร์ ที่มีรสชาติหอมหวานไม่เหมือนใคร
  • สวนดอกไม้ชิกิไซโนะโอกะ (Shikisai-no-oka): จากฟุราโนะ เราขับรถต่อไปยังเมือง บิเอะ (Biei) เพียง 30 นาที ที่นี่คุณจะได้พบกับสวนดอกไม้ที่สวยงามอลังการที่สุด! ทุ่งดอกไม้ขนาดใหญ่สุดลูกหูลูกตาเรียงรายกันบนเนินเขาเป็นริ้วสีรุ้งราวกับภาพวาด แนะนำให้เช่ารถกอล์ฟ ขับชมสวนเพื่อความสะดวกสบาย และอย่าลืมลองชิม ข้าวโพดฮอกไกโด ที่หวานกรอบอร่อยจนน่าตกใจ
  • บ่อน้ำสีฟ้า (Blue Pond – Aoiike): ใกล้ๆ กันคือบ่อน้ำสีฟ้าซึ่งมีน้ำในบ่อสีฟ้าเทอร์ควอยซ์สวยงามตามธรรมชาติ บรรยากาศเงียบสงบและมีมนต์ขลัง แนะนำให้มาในช่วงเช้าตรู่หรือช่วงเย็น เพราะคนจะน้อยกว่าช่วงกลางวันและแสงจะสวยเหมาะกับการถ่ายรูปมากๆ


Day 3: โอตารุ (Otaru)

เวนิสแห่งฮอกไกโดที่อบอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์

หลังจากเต็มอิ่มกับธรรมชาติแล้ว เราขับรถจากฟุราโนะมุ่งหน้าสู่ โอตารุ (Otaru) ซึ่งห่างจากซัปโปโรประมาณ 1 ชั่วโมง ที่นี่เป็นเมืองท่าเก่าแก่ริมคลองที่มีสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอคลาสสิกผสมผสานกับสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนเดินอยู่ในเมืองแถบยุโรป

สถานที่ห้ามพลาดในโอตารุคือ ถนนคนเดินซาคาอิมาจิ (Sakaimachi Street) ที่เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งร้านขนมชื่อดังอย่าง LeTAO ร้านขายเครื่องแก้ว และที่สำคัญคือ พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี (Music Box Museum) ที่มีกล่องดนตรีกว่าหมื่นชิ้น! และที่ขาดไม่ได้คือ คลองโอตารุ ที่จะยิ่งสวยงามและโรแมนติกขึ้นไปอีกในช่วงเย็นย่ำ แนะนำให้ลองเดินเล่นริมคลองในช่วงเย็นๆ เพื่อชมอาคารโกดังเก่าที่เปิดไฟส่องสว่าง และอย่าลืมแวะชม นาฬิกาไอน้ำโอตารุ (Otaru Steam Clock) ซึ่งจะส่งเสียงและพ่นไอน้ำทุกๆ 15 นาที!


Day 4 & 5: ซัปโปโร (Sapporo)

ช้อปปิ้ง อัปเดตพิกัดร้านอร่อย และสถานที่ Unseen

ช่วงสุดท้ายของทริปเราเข้าสู่เมืองหลวงของฮอกไกโดอย่าง ซัปโปโร (Sapporo) ที่นี่คือศูนย์กลางของความทันสมัยและแหล่งรวมของอร่อย!

พิกัดกินที่ห้ามพลาดในซัปโปโร:
  • ร้านทงคัตสึ Takafuji: ร้านหมูทอดในตำนานที่ผมยกให้เป็นร้านหมูทอดที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่น
  • ร้าน Teppachi: ร้านยากินิคุและเทปันยากิที่เหมาะสำหรับคู่รัก เพราะมีทั้งเนื้อวากิว, หมู, ไก่, ซีฟู้ด และที่เด็ดสุดคือมอนจายากิ
  • ร้าน Kita-Karo: ร้านขนมชื่อดังที่ของหวานทุกอย่างอร่อยมาก โดยเฉพาะชูครีมและเค้กขอนไม้
  • ร้าน Udon Homemade Oniwazoto-Fukuwachi: ร้านอุด้งโฮมเมดที่อยู่ตรงข้ามศาลเจ้าฟูชิอินาริ ที่นี่มีอุด้งแกงกะหรี่รสชาติเข้มข้นจัดจ้าน และเส้นอุด้งที่เหนียวนุ่มสุดๆ
สถานที่ท่องเที่ยวและกิจกรรมในซัปโปโร:
  • แลนด์มาร์กสำคัญใจกลางเมือง: หอนาฬิกาฮอกไกโด (Sapporo Clock Tower), ซัปโปโรทีวีทาวเวอร์ (Sapporo TV Tower) และสวนสาธารณะโอโดริ (Odori Park) ที่สวยงามตลอดทั้งปี รวมถึงทางเดินใต้ดินที่เชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้าต่างๆ ทำให้คุณสามารถช้อปปิ้งได้อย่างสบายๆ
  • สถานที่ Unseen: The Hill of the Buddha เป็นพิกัดลับที่ไม่ควรพลาด ตั้งอยู่นอกตัวเมืองซัปโปโรประมาณ 45 นาที ที่นี่คุณจะได้พบกับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่บนเนินเขาล้อมรอบด้วยทุ่งดอกลาเวนเดอร์และรูปปั้นโมอาย ที่นี่เปิดให้เข้าชมถึงเวลา 16:00 น. เท่านั้น


สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่ไม่ควรพลาดในซัปโปโร

นอกจากแลนด์มาร์กสำคัญใจกลางเมืองแล้ว ซัปโปโรยังมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายที่รอให้คุณไปสำรวจ ลองมาดูสถานที่อื่น ๆ ที่น่าสนใจกันครับ

  1. สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทัศนียภาพที่สวยงาม
    • ภูเขาโมอิวะ (Mt. Moiwa): ขึ้นกระเช้าไฟฟ้าไปชมวิวเมืองซัปโปโรแบบพาโนรามาได้ทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะยามค่ำคืนที่แสงไฟจากเมืองส่องประกายระยิบระยับจนได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 3 จุดชมวิวยามค่ำคืนที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น
    • สวนโมเอเรนุมะ (Moerenuma Park): สวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ออกแบบโดยศิลปินและประติมากรชื่อดัง Isamu Noguchi มีลักษณะเป็นเนินเขาและประติมากรรมที่ผสานเข้ากับธรรมชาติอย่างลงตัว
    • สวนดอกไม้ฮอร์โรมิโทเกะ (Horomitoge Lavender Garden): สวนลาเวนเดอร์ที่งดงามไม่แพ้ฟาร์มโทมิตะที่ฟูราโนะ แต่ที่นี่อยู่ใกล้ตัวเมืองซัปโปโรมากกว่า โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมดอกลาเวนเดอร์คือเดือนกรกฎาคม
    • โจซังเค ออนเซ็น (Jozankei Onsen): แหล่งออนเซ็นชื่อดังที่ล้อมรอบด้วยหุบเขาและธรรมชาติที่สวยงาม สามารถเดินทางไปแบบเดย์ทริปเพื่อแช่น้ำร้อนผ่อนคลายได้
  2. สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
    • พิพิธภัณฑ์เบียร์ซัปโปโร (Sapporo Beer Museum): พิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ของเบียร์ซัปโปโร สามารถเข้าร่วมทัวร์พร้อมชิมเบียร์และทานอาหารที่ Sapporo Beer Garden ได้
    • ศาลเจ้าฮอกไกโด (Hokkaido Shrine): ศาลเจ้าชินโตอันศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณสวนมารุยามะ (Maruyama Park) เป็นสถานที่ที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยบรรยากาศอันร่มรื่น
    • หมู่บ้านประวัติศาสตร์ฮอกไกโด (Historical Village of Hokkaido): พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่รวบรวมอาคารบ้านเรือน ร้านค้า และโรงเรียนจากยุคเมจิและไทโชไว้ให้ได้สัมผัสบรรยากาศในอดีต
  3. สถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนและกิจกรรมอื่นๆ
    • ย่านซูซูกิโนะ (Susukino): ย่านบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในฮอกไกโด เต็มไปด้วยร้านอาหาร บาร์ และแหล่งช้อปปิ้งที่เปิดให้บริการจนดึก
    • ทานุกิโคจิ (Tanukikoji Shopping Street): ถนนช้อปปิ้งที่มีหลังคาคลุมยาวกว่า 1 กิโลเมตร มีร้านค้ากว่า 200 ร้านให้เลือกซื้อของฝากและรับประทานอาหาร
    • โรงงานช็อกโกแลตชิโรอิโคอิบิโตะ (Shiroi Koibito Park): สวนสนุกที่เหมือนหลุดเข้าไปในโลกแห่งเทพนิยาย เป็นทั้งโรงงานผลิตขนม ร้านค้า และพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต

นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาและกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น ซัปโปโรโคคุไซสกีรีสอร์ท (Sapporo Kokusai Ski Resort) และ สวนสัตว์มารุยามะ (Maruyama Zoo) ซึ่งมีหมีขั้วโลกเป็นไฮไลท์สำคัญอีกด้วย

TOKYO SKYTREE ชวนแฟน Toy Story ฉลองครบรอบ 30 ปี

ทะยานสู่ฟากฟ้า! TOKYO SKYTREE ชวนแฟน Toy Story ฉลองครบรอบ 30 ปี กับอีเวนต์สุดพิเศษ

เรียกได้ว่าเป็นข่าวดีสำหรับแฟน ๆ ภาพยนตร์แอนิเมชันในดวงใจอย่าง “Toy Story” และใครที่กำลังวางแผนเที่ยวญี่ปุ่น! TOBU TOWER SKYTREE ผู้บริหาร TOKYO SKYTREE แลนด์มาร์กสำคัญของกรุงโตเกียว ประกาศจัดอีเวนต์สุดยิ่งใหญ่ “To the Sky Beyond Imagination TOY STORY SKY IN TOKYO SKYTREE” เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสที่ภาพยนตร์ Toy Story ครบรอบ 30 ปี

อีเวนต์พิเศษนี้ได้เริ่มขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม และจะจัดยาวไปจนถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2025 ชวนนักท่องเที่ยวและแฟน ๆ ไปสัมผัสโลกแห่งของเล่นเหนือจินตนาการบนตึกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น

ไฮไลท์สุดพิเศษที่คุณจะได้พบ

ภายในงาน นักท่องเที่ยวจะได้ดื่มด่ำไปกับโลกของ Toy Story อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะบนชั้น Tembo Galleria ที่ความสูง 450 เมตร ซึ่งจะถูกตกแต่งและจัดแสดงนิทรรศการในธีม Toy Story ราวกับว่า TOKYO SKYTREE ได้กลายเป็นห้องของเล่นขนาดมหึมาบนก้อนเมฆ ตามคอนเซ็ปต์ภาพโปรโมตหลักของงาน ที่เหล่าตัวละครอย่างวู้ดดี้และบัซ ไลท์เยียร์ กำลังสนุกสนานอยู่บนยอดสกายทรี

นอกจากนี้ ในช่วงเวลากลางคืน ยังมีความพิเศษรออยู่อีกมากมาย:

  • SKYTREE ROUND THEATER: บนชั้น Tembo Deck ที่ความสูง 350 เมตร หน้าต่างชมวิวจะถูกเปลี่ยนให้เป็นจอภาพยนตร์ขนาดยักษ์ ฉายวิดีโอสุดพิเศษในธีม Toy Story ให้ชมกันทุกคืนตลอดระยะเวลาการจัดงาน
  • Special Lighting: ในยามค่ำคืน ตัวอาคาร TOKYO SKYTREE จะสว่างไสวด้วยแสงไฟสีพิเศษที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวละครต่าง ๆ ในเรื่อง Toy Story ซึ่งจะสลับสับเปลี่ยนไปในแต่ละวัน สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่มาเยือนและผู้ที่ชมจากภายนอก

สินค้าลิมิเต็ดและเมนูคาเฟ่สุดน่ารัก

แน่นอนว่ามาอีเวนต์สุดพิเศษแบบนี้จะขาดของที่ระลึกและเมนูอร่อย ๆ ไปไม่ได้ ภายในงานมีโซนจำหน่าย สินค้าลิมิเต็ดเอดิชัน ที่ออกแบบมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ หาซื้อที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว รวมถึง เมนูพิเศษจากคาเฟ่ ที่รังสรรค์ขึ้นในธีม Toy Story ให้แฟน ๆ ได้เก็บความทรงจำทั้งในรูปแบบของสะสมและรสชาติอร่อย ๆ กลับบ้านไป

ทาง TOBU TOWER SKYTREE หวังเป็นอย่างยิ่งว่านักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รวมถึงชาวไทยที่เดินทางมายังประเทศญี่ปุ่น จะแวะมาเยี่ยมชมและสนุกสนานไปกับอีเวนต์พิเศษครั้งนี้ที่ TOKYO SKYTREE

ข้อมูลสรุปสำหรับนักเดินทาง

  • ชื่องาน: To the Sky Beyond Imagination TOY STORY SKY IN TOKYO SKYTREE
  • สถานที่: TOKYO SKYTREE กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
  • ระยะเวลาจัดงาน: วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม – วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม 2025
  • เว็บไซต์: https://www.tokyo-skytree.jp/en/event/special/toystory/

ใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวโตเกียวในช่วงเวลาดังกล่าว ห้ามพลาดเด็ดขาดที่จะใส่ TOKYO SKYTREE เข้าไปในลิสต์ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลอง 30 ปีแห่งมิตรภาพของเหล่าของเล่นที่เรารัก!

“Tohoku Four Seasons & Tohoku Kizuna Festival” ที่ EXPO 2025 Osaka รวมที่สุดของเทศกาลหน้าร้อน 6 จังหวัดโทโฮคุในหนึ่งเดียว

“Tohoku Four Seasons & Tohoku Kizuna Festival” ที่ EXPO 2025 Osaka
รวมที่สุดของเทศกาลหน้าร้อน 6 จังหวัดโทโฮคุในหนึ่งเดียว

หนึ่งในไฮไลต์สุดยิ่งใหญ่ของ EXPO 2025 Osaka, Kansai, Japan ระหว่างวันที่ 13-15 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมา คือการจัดงาน “Tohoku Four Seasons & Tohoku Kizuna Festival” ที่ได้รวบรวมมนต์เสน่ห์จากภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku) ทางตอนเหนือของญี่ปุ่นมาไว้ ณ จุดเดียว โดยเฉพาะ ขบวนพาเหรด Tohoku Kizuna Festival ซึ่งนำเอาเทศกาลหน้าร้อนชื่อดังทั้ง 6 แห่งของโทโฮคุ มาร่วมแสดงอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

ประวัติความเป็นมา: จากน้ำตา…สู่รอยยิ้ม

ต้นกำเนิดของ Tohoku Kizuna Festival เริ่มขึ้นจากความสูญเสียครั้งใหญ่ในเหตุการณ์ แผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่เมื่อปี 2011 หรือที่รู้จักในชื่อ “The Great East Japan Earthquake” เทศกาลนี้ถูกจัดขึ้นเพื่อน้อมรำลึกถึงผู้สูญเสีย และเป็นสัญลักษณ์แห่งการรวมพลังใจ (“Kizuna” แปลว่า “สายใยผูกพัน”) เพื่อการฟื้นฟูภูมิภาคโทโฮคุ

เทศกาลนี้เป็นผู้สืบทอดจิตวิญญาณจาก Tohoku Rokkon Festival และโดยปกติจะจัดหมุนเวียนใน 6 เมืองหลวงของจังหวัดในโทโฮคุ ทว่าปีนี้ ได้รับเกียรติให้มาจัดแสดงพิเศษที่งาน World Expo ในโอซาก้า

เทศกาลที่รวม “ที่สุดของที่สุด” จากโทโฮคุ

ในงานปีนี้ ได้รวมเอาเทศกาลฤดูร้อนที่มีชื่อเสียงระดับประเทศของทั้ง 6 จังหวัด ได้แก่:

🏮 Aomori Nebuta Festival (อาโอโมริ)

โคมไฟนักรบลุกโชน สาดแสงแห่งตำนาน”
📅 วันที่จัด: 2 – 7 สิงหาคม ของทุกปี
เทศกาลฤดูร้อนสุดยิ่งใหญ่ของจังหวัดอาโอโมริที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก จุดเด่นอยู่ที่ ขบวนโคมไฟเนบุตะขนาดยักษ์ ส่องแสงเจิดจ้าในยามค่ำคืน โดยมีรูปนักรบ เทพเจ้า หรือตัวละครจากวรรณกรรมปรากฏในรูปแบบศิลปะกระดาษวาชิพร้อมแสงไฟภายใน ขบวนจะเคลื่อนไปท่ามกลางเสียงกลองไทโกะและการเต้น “ฮาเนโตะ” ที่มีจังหวะสนุกสนาน

🥁 Morioka Sansa Odori Festival (อิวาเตะ)

ร่ายรำแห่งกลองสะท้านฟ้า เมืองโมริโอกะ”
📅 วันที่จัด: 1 – 4 สิงหาคม ของทุกปี
ถือเป็นเทศกาลเต้นรำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น โดยเฉพาะในด้านจำนวนกลองและนักแสดง ผู้ร่วมขบวนหลายพันคนจะร่ายรำด้วยจังหวะกลองไทโกะ ขลุ่ย และเสียงร้องประสานอย่างสนุกสนาน เทศกาลนี้ถือกำเนิดจากตำนานการขอบคุณเทพเจ้าที่ขับไล่ภูตผีจากเมืองไปได้

🎐 Akita Kanto Festival (อาคิตะ)

ศิลปะการทรงโคมไฟ สู่ฟากฟ้าแห่งพลังจิต”
📅 วันที่จัด: 3 – 6 สิงหาคม ของทุกปี
นักแสดงในเทศกาลนี้จะแสดงทักษะการทรงเสาโคมไฟยักษ์ “คันโต” ที่บรรจุโคมไฟกว่า 40 ดวงด้วยท่วงท่าละเอียดอ่อน เช่น บนหน้าผาก ไหล่ หรือสะโพก เสาแต่ละต้นมีน้ำหนักกว่า 50 กิโลกรัมและสูงถึง 12 เมตร ถือเป็นการอธิษฐานขอให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรดีในปีนั้น ๆ

✨ Sendai Tanabata Festival (มิยางิ)

เทศกาลแห่งดวงดาว ความหวัง และสีสัน”
📅 วันที่จัด: 6 – 8 สิงหาคม ของทุกปี
แม้ต้นแบบ Tanabata จะมาจากวันที่ 7 กรกฎาคม แต่ที่เซนไดจัดในเดือนสิงหาคมตามปฏิทินจันทรคติแบบญี่ปุ่น เทศกาลนี้มีชื่อเสียงในด้าน ตุงกระดาษประดับที่สูงและสวยงาม ห้อยจากไม้ไผ่และเรียงรายไปทั่วเมือง เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง ความฝัน และคำอธิษฐานของผู้คน

🌸 Yamagata Hanagasa Festival (ยามากาตะ)

ระบำหมวกดอกไม้แห่งความสุข”
📅 วันที่จัด: 5 – 7 สิงหาคม ของทุกปี
ขบวนรำ “ฮานะกาสะ” นี้เต็มไปด้วยพลังบวกและความอ่อนช้อย นักรำจะสวมชุดยูกาตะและถือ หมวกฟางที่ประดับด้วยดอกไม้สีสด ร่ายรำไปพร้อมเสียงเพลงพื้นบ้าน “ฮานากาสะ ออนโดะ” ที่ติดหูและชวนขยับตาม บรรยากาศของเทศกาลเต็มไปด้วยความสนุกสนานและกลิ่นอายวัฒนธรรมท้องถิ่น

👣 Fukushima Waraji Festival (ฟุกุชิมะ)

ก้าวย่างแห่งศรัทธา ด้วยรองเท้า Waraji ยักษ์”
📅 วันที่จัด: สุดสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม (โดยปกติมักเป็น วันศุกร์-อาทิตย์แรก)
ในเทศกาลนี้จะมีขบวนแห่ รองเท้า Waraji ยักษ์ ยาวกว่า 12 เมตร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งพลังและความเชื่อในโชคดี ผู้ร่วมขบวนจะร้องเพลงประจำเทศกาลและเต้นประกอบอย่างครึกครื้น เทศกาลนี้มีต้นกำเนิดจากศรัทธาในศาลเจ้า Higashi-Honganji และกลายเป็นงานรวมใจคนทั้งเมืองฟุกุชิมะ

ตลอดระยะเวลา 3 วัน มีนักแสดงกว่า 550 คน เข้าร่วมขบวนพาเหรดและกิจกรรมมากมาย แม้จะมีฝนตกในวันเสาร์ ทำให้บางกิจกรรมต้องย้ายขึ้นเวทีในร่ม แต่ในวันอาทิตย์ ขบวนพาเหรดได้จัดเต็มสองรอบกลางแจ้งอย่างอลังการ

สัมผัสฤดูกาลทั้งสี่ของโทโฮคุในที่เดียว

นอกจากขบวนพาเหรดแล้ว ภายในงานยังจัดโซน “Tohoku Four Seasons” ให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวโทโฮคุในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น:

  • บูธนิทรรศการจากทั้ง 6 จังหวัด
  • กิจกรรมเวิร์กช็อปงานหัตถกรรมท้องถิ่น
  • โซนชิมอาหารท้องถิ่นยอดนิยม
  • เวทีแสดงศิลปะวัฒนธรรม
  • มาสคอตท้องถิ่นและ MYAKU-MYAKU มาสคอตของ EXPO 2025 มาร่วมสร้างสีสัน

ความสำคัญเชิงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

การจัดงานในครั้งนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมและความร่วมมือของภูมิภาคโทโฮคุในการฟื้นฟูจากภัยพิบัติ แต่ยังเป็นเวทีในการเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวาของท้องถิ่นออกสู่สายตาชาวโลก ด้วยเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศให้มาเยือนภูมิภาคที่เปี่ยมด้วยธรรมชาติ ศิลปะ อาหาร และจิตวิญญาณ

Universal Studio Japan (USJ) เต็มวัน: ตะลุยโลก Super Nintendo และ Harry Potter อย่างจุใจ!

Universal Studio Japan (USJ) เต็มวัน: ตะลุยโลก Super Nintendo และ Harry Potter อย่างจุใจ!

วันนี้ขอพาทุกคนไปตะลุย Universal Studio Japan (USJ) กันแบบเต็มวัน! การมาครั้งนี้จุดหมายหลักของผมคือสองโซนสุดฟิน นั่นก็คือ Super Nintendo World™ และ The Wizarding World of Harry Potter™ เตรียมตัวให้พร้อมกับความสนุกสนานและความตื่นเต้นที่รออยู่ข้างหน้า!

Super Nintendo World™: โลกแห่งเกมส์ที่กลายเป็นจริง!

เริ่มต้นวันด้วยการเข้าสู่โลกแห่ง Super Nintendo World™ ที่นี่เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเกมส์จริงๆ! เราเริ่มที่การเล่น Mario Kart: Koopa’s Challenge เครื่องเล่นสุดมันส์ที่ใช้เทคโนโลยี AR ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังขับรถโกคาร์ทแข่งกับเหล่าตัวละครจากมาริโอ ความตื่นเต้นเร้าใจ ไม่ว่าจะเป็นการโค้ง การแซง หรือการใช้ไอเทมต่างๆ ทำให้รู้สึกสนุกสุดๆ!

หลังจากนั้น ผมก็ได้ไปลองเล่นเครื่องเล่นอื่นๆ เช่น Yoshi’s Adventure เครื่องเล่นที่ได้นั่งหลังโยชิ สนุกสนานเหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว และยังได้เดินสำรวจพื้นที่ต่างๆ ทั้งตื่นเต้นและความน่ารัก

The Wizarding World of Harry Potter™: เวทมนตร์ที่ชวนฝัน!

จากโลกแห่งเกมส์ เราเดินทางเข้าสู่โลกแห่งเวทมนตร์ ที่ The Wizarding World of Harry Potter™ ความตื่นตาตื่นใจเริ่มต้นตั้งแต่เดินเข้ามาใน Hogsmeade หมู่บ้านที่เต็มไปด้วยร้านรวงต่างๆ ถ่ายรูปคู่กับฮอกวอตส์ (Hogwarts)  เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในหนังเลย! และแน่นอน เราไม่พลาดที่จะลองเครื่องดื่ม Butterbeer รสชาติหวานมัน หอมกลิ่นเนย เป็นเครื่องดื่มที่ต้องลองเมื่อมาที่นี่

ไฮไลท์สำคัญคือ Harry Potter and the Forbidden Journey™ เครื่องเล่นสุดมันส์ที่ใช้เทคโนโลยีต่างๆ ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังบินไปกับแฮร์รี่และเพื่อนๆ ความตื่นเต้น ความตื่นเต้น และความสวยงามของฉากต่างๆ ทำให้ประทับใจมาก!

สรุป:
USJ เต็มวันของผมสามารถเต็มอิ่มไปกับทั้ง 2โซน แบบเน้นๆ แต่ถ้าเพื่อนๆอยากเล่นให้ครบทุกโซนอาจจะต้องวางแผนให้ดี เพราะแต่ละเครื่องเล่นต้องใช้เวลาต่อคิวนานพอสมควร

Arashiyama ในฤดูใบไม้แดง ความงดงามเหนือคำบรรยาย เที่ยวง่ายๆ ใกล้เกียวโต

Arashiyama ในฤดูใบไม้แดง ความงดงามเหนือคำบรรยาย ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย

ทุกครั้งที่ผมมาเยือนเกียวโต ต้องแวะไปเมือง Arashiyama ทุกครั้งไป ซึ่งครั้งนี้ ผมได้สัมผัสกับความงดงามของฤดูใบไม้ร่วงอย่างเต็มที่ แม้ว่าฟ้าจะไม่เป็นใจ เพราะผมมาเยือนในวันที่ฝนโปรยปราย แต่ความงดงามของสีสันใบเมเปิ้ลที่เปลี่ยนสี ผสานกับความเขียวชอุ่มของป่าไผ่ กลับสร้างบรรยากาศที่โรแมนติกและน่าหลงใหลอย่างเหลือเชื่อ

 

เริ่มต้นทริปด้วยการเติมคาเฟอีน โดยแวะดื่มกาแฟที่ร้าน % Arabica ร้านกาแฟที่มีชื่อเสียง กาแฟหอมกรุ่น รสชาติเข้มข้น ดื่มคู่กับวิว Arashiyama ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและฟนสุดๆ

ต่อด้วยการไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่วัดเท็นริวจิ (Tenryu-ji) วัดเซนที่มีชื่อเสียง ภายในวัดรายล้อมด้วยต้นไม้สีแดงสด แม้ฝนจะตกปรอยๆ แต่ความชุ่มชื้นทำให้สีสันของใบไม้ดูสดใสยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย แสงแดดอ่อนๆ ที่ส่องลอดผ่านเมฆหมอก สร้างเงาที่สวยงาม เหมือนภาพวาด

เดินออกมาด้านหลังวัดตะเจอกับป่าไผ่แห่ง Arashiyama ที่โด่งดัง คือป่าไผ่ซางาโน (Sagano Bamboo Forest) ป่าไผ่ที่สูงใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขา ปกคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ การเดินท่ามกลางป่าไผ่ในวันที่ฝนตก เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ เสียงฝนกระทบใบไผ่ สร้างเสียงที่ไพเราะ กลายเป็นเสียงดนตรีธรรมชาติที่แสนไพเราะ แสงแดดที่ส่องลอดผ่านกอไผ่และเมฆหมอก สร้างลวดลายที่สวยงาม เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ แม้จะเปียกฝนบ้าง แต่ก็คุ้มค่า

จากนั้น ผมเดินไปยังสะพานโทเก็ตสึเคียว (Togetsukyo Bridge) สะพานไม้ที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำ เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นภูเขาและแม่น้ำที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้สีแดง เหลือง และส้ม แม้จะเปียกฝนเล็กน้อย แต่ความงดงามของวิวก็ไม่ลดลง นักท่องเที่ยวบางส่วนยังคงมาเยือนที่นี่ ต่างพากันเก็บภาพความประทับใจ

สำหรับมื้อกลางวัน ผมเลือกทานที่ร้าน Seisyuan 清修庵 ร้านอาหารที่มีวิวสุดอลังการ สามารถมองเห็นวิวิว Arashiyama และ สะพานโทเก็ตสึเคียวได้อย่างเต็มตา ทำให้มื้ออาหารอร่อยขึ้นไปอีก บรรยากาศดีมาก อาหารก็อร่อย เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปนี้เลยก็ว่าได้

ผมเดินต่อไปยังจุดชมวิวมุมสูง Arashiyama Park Observation Deck ที่สามารถมองเห็นวิว Arashiyama ได้อย่างเต็มตา ใบไม้เปลี่ยนสีเต็มพื้นที่ สร้างวิวทิวทัศน์ที่งดงามราวกับภาพวาด คุ้มค่ากับการเดินขึ้นมา ที่จุดชมวิวนี้มีนักท่องเที่ยวไม่เยอะ อาจจะเป็นเพราะอยู่นอกเหนือแผนการเที่ยวของกรุ๊ปทัวร์

ฝนยังคงตกหนักขึ้นเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผมเลยตัดสินใจ เข้าไปหลบฝนในคาเฟ่บรรยากาศอบอุ่น ที่บังเอิญเจอแถวๆเชิงสะพานสะพานโทเก็ตสึเคียว กับร้าน Chavaty โดยผมเลือกดื่มชาเขียวรสชาติละมุน กลิ่นหอม ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ คู่กับ Financier อร่อยมากๆ

ทริป Arashiyamaในช่วงใบไม้แดงครั้งนี้ เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ ความงดงามของธรรมชาติ ทั้งสีสันใบไม้และความเขียวขจีของป่าไผ่ ความสวยของวัด และรสชาติของกาแฟและชา ล้วนแล้วแต่สร้างความประทับใจ แม้ฝนจะตก แต่ก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับทริปนี้ รวมถึงมื้ออาหารกลางวันที่ Seisyuan ที่ทำให้ทริปนี้สมบูรณ์แบบ แนะนำหากใครมาเที่ยวเกียวโตอยากให้ทุกคนมาเยือน Arashiyama แม้ไม่ได้อยู่ในช่วงใบไม้แดง ก็สวยแตกต่างกัน โดยเฉพาะช่วงซากุระบาน สวยจับใจมากๆ รับรองว่าจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

วัดโทฟุคุจิ (Tōfukuji) กับสถานที่ชมสีสันใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามที่สุดในเกียวโต

วัดโทฟุคุจิ (Tōfukuji) กับสถานที่ชมสีสันใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงามที่สุดในเกียวโต

ปลายเดือนพฤศจิกายน ผมได้ไปเยือนวัดโทฟุคุจิ (Tōfukuji) ในเกียวโต วัดเซนขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงเรื่องความงดงามของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง ปีนี้ใบไม้แดงมาช้ากว่าปกติเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ลดทอนความสวยงามของวัดแห่งนี้ลงเลยแม้แต่น้อย

วัดโทฟุคุจิ ก่อตั้งขึ้นในปี 1236 โดยตระกูลฟูจิวาระ เป็นวัดเซนหลักในเกียวโต และเป็นวัดหลักของนิกายรินไซ จุดไฮไลท์ที่ทุกคนมาเยือนต้องชมคือสะพานซูเท็นเคียว (Tsutenkyo Bridge) สะพานไม้ที่ทอดยาวข้ามหุบเขาที่รายล้อมไปด้วยต้นเมเปิ้ลนับร้อยต้น แม้ว่าจะยังไม่ถึงจุดพีคของสีสัน แต่ใบไม้สีแดง สีเหลือง สีส้มก็เริ่มผลิบานอย่างสวยงาม สร้างบรรยากาศที่แสนโรแมนติก การเดินบนสะพานไม้ยาว 100 เมตรที่ปกคลุมด้วยใบไม้หลากสีเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ

นอกจากสะพานซูเท็นเคียวแล้ว ภายในวัดยังมีสิ่งน่าสนใจอีกมากมายที่เข้าชมได้ฟรี เช่น ประตูซันมง (Sanmon Gate) ประตูเซนที่เก่าแก่ที่สุด สูงถึง 22 เมตร และวิหารฮอนโด (Hondo) วิหารใหญ่ที่ได้รับการบูรณะใหม่ รวมถึงอาคารต่างๆ ในยุคมูโรมาจิ (Muromachi Period)

แม้ว่าใบไม้แดงจะมาช้ากว่าปกติ แต่การมาเยือนวัดโทฟุคุจิในช่วงปลายพฤศจิกายนก็เป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่า ปีถัดๆไป ใบไม้แดงคงกลับมาตรงเวลานัด!

#TravelEatDrinkReview #เที่ยวเก่งกินก็เก่ง #เก่งรีวิว #Tofukuji #Kyoto #เกียวโต #รีวิวญี่ปุ่น

ใบไม้แดงแล้วที่ วัดคิโยมิซุเดระ สถานที่ห้ามพลาด!!เมื่อไปเยือนเกียวโต  

ใบไม้แดงแล้วที่ วัดคิโยมิซุเดระ สถานที่ห้ามพลาด!!เมื่อไปเยือนเกียวโต

วัดคิโยมิซุเดระ (清水寺) หรือ “วัดน้ำใส” ตั้งอยู่บนเนินเขาฮิงาชิยามะ เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างประวัติศาสตร์ ความเชื่อทางจิตวิญญาณ และทิวทัศน์อันงดงาม วัดแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก และเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเกียวโต โด่งดังจากระเบียงไม้และวิวทิวทัศน์อันน่าทึ่ง

สุดฟิน!! เมื่อไปยืนอยู่บนระเบียงไม้สูง 13 เมตร ล้อมรอบด้วยต้นเมเปิลแดงฉ่ำ ระเบียงไม้ที่สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียวนี้ กับวิวพาโน อันกว้างไกลของเมืองเกียวโต ซึ่งถ้าเพื่อนๆมา ในฤดูใบไม้ผลิ ดอกซากุระจะแต่งแต้มภูมิทัศน์ด้วยสีชมพูอ่อนหวาน ขณะที่ฤดูใบไม้ร่วงจะสว่างไสวไปด้วยใบเมเปิลสีแดงและสีส้ม

นอกเหนือจากระเบียงชมวิวอันโดดเด่นแล้ว ที่มาของชื่อวัดก็คือ น้ำตกโอโตวะ ไหลลงมาเป็นสามสาย เชื่อกันว่าน้ำแต่ละสายจะประทานพรที่แตกต่างกัน ได้แก่ อายุยืนยาว ความสำเร็จในการเรียน และความโชคดีในเรื่องความรัก